เปิด 4 เทคนิค สู้ศึกตลาดรถยนต์แข่งเดือด ด้วยแคมเปญดิจิทัลบน LINE
เปิด 4 เทคนิค สู้ศึกตลาดรถยนต์แข่งเดือด ด้วยแคมเปญดิจิทัลบน LINE
จากกระแสความนิยมรถไฟฟ้าในประเทศไทย ที่เกิดจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ประกอบกับมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐที่ทำให้ราคารถไฟฟ้ามีราคาถูกลงมาก ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ทำให้ปีที่ผ่านมา มีจำนวนรถไฟฟ้าที่จดทะเบียนเติบโตขึ้นถึง 104% นำไปสู่การแข่งขันในตลาดรถยนต์ที่ดุเดือด เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด เห็นได้จากการใช้เม็ดเงินโฆษณาของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ในช่องทางดิจิทัลโดยรวมที่เพิ่มขึ้นถึง 24% อย่างไรก็ตาม ขณะที่มีความสนใจจำนวนมาก ด้วยยอดจองรถในงานต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจ ในทางกลับกัน การอนุมติสินเชื่อรถยนต์มียอดปฏิเสธสินเชื่อพุ่งสูงขึ้น 30-40% ทำให้ยอดขายรถยนต์กลับหดตัว ซึ่งคาดการณ์ว่าจะหดตัวถึง 6.6% ในปีนี้
LINE ในฐานะแพลตฟอร์มดิจิทัลชั้นนำในเมืองไทย ที่หลากหลายค่ายรถยนต์เลือกใช้เพื่อเข้าถึงลูกค้า ทำการตลาดในปัจจุบัน จัดงานสัมมนาสำหรับกลุ่มธุรกิจรถยนต์ ภายใต้หัวข้อ “Innovate Automotive: LINE Total Solution for Leads and CRM success” อัปเดตสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในไทย พร้อมแนะนำโซลูชั่นบน LINE เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ โดยมี ฤทธิชัย วานิชย์หานนท์ หัวหน้าที่ปรึกษาธุรกิจยานยนต์ พร้อมด้วย ชุติมณฑ์ ปริบูรณะ ที่ปรึกษาธุรกิจยานยนต์ LINE ประเทศไทย ร่วมให้ข้อมูล โดยชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ กลายเป็นโจทย์สำคัญสำหรับแบรนด์รถยนต์ทั้งหลาย ที่ไม่เพียงต้องสร้างการรับรู้ ให้สินค้ารถยนต์ของตนโดดเด่นจากคู่แข่ง แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับการได้มาของ Leads หรือลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่มีคุณภาพด้วยต้นทุนที่คุ้มค่า ผ่านการทำแคมเปญโฆษณาที่ตอบโจทย์ รวมถึงการนำ LINE OA มาเป็นช่องทางในการสร้าง Leads และรักษา Leads ได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านการพูดคุย สื่อสารอย่างเป็นระบบ ระเบียบบน LINE โดยสามารถสรุปได้เป็น 4 เทคนิคที่สำคัญดังนี้
ลงทุนในตำแหน่งโฆษณาบน LINE ที่คุ้มค่า
ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์มีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนเข้ามาเป็นผู้เล่นใหม่จำนวนมาก มีเม็ดเงินในการลงโฆษณาที่เพิ่มขึ้นในภาพรวม โดยเฉพาะบน LINE ที่มีการเติบโตถึง 25% สะท้อนถึงความเป็นไปได้ว่า หากแบรนด์ใช้งบประมาณเท่าเดิม ส่วนแบ่งของเสียงในตลาด (Share of Voice) อาจจะไม่เท่าเดิมอีกต่อไป ต้นทุนการโฆษณาจึงกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญในการวางแผนสื่อโฆษณาให้เกิดประสิทธิภาพไปในตัว ซึ่งตำแหน่งโฆษณาบน LINE ที่ตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี คือ Smart Channel แบบ Reservation ที่สามารถสร้างการรับรู้สู่สายตาผู้ใช้ภายใน 1 วันครอบคลุมถึงกว่า 30 ล้านคนได้ พร้อมด้วยแพ็กเกจพิเศษอย่าง Smart Channel Buy 1 Get 1 ที่ช่วยให้ต้นทุนต่อการแสดงผลพันครั้ง หรือ CPM (Cost Per Mille) โดยรวมถูกลงถึงต่ำกว่า 10 บาท ทำให้แบรนด์ยังคงสามารถวางแผนสื่อโฆษณา เพื่อรักษาส่วนแบ่งของเสียงในตลาดเอาไว้ได้อย่างมีประสิทธิผล
เก็บ Leads คุณภาพด้วยแคมเปญโฆษณาในรูปแบบ Go-Thru Funnel
โดยทั่วไปการเก็บ Leads จากแคมเปญการตลาดของแบรนด์รถยนต์ จะนิยมทำใน 2 แนวทาง คือแบบ Go-thru Funnel และแบบ Skip-to Conversion โดยแต่ละแนวทางมีจุดเด่นและจุดด้อยแตกต่างกันออกไป การเก็บ Leads ด้วยแนวทาง Go-thru Funnel คือการวางแผนแคมเปญแบบดั้งเดิมในเชิงการตลาด คือ เริ่มจากการสร้างการรับรู้แคมเปญ (Campaign Awareness) สร้างความเชื่อมั่นเพื่อให้เกิดการพิจารณา (Consideration) และสื่อสารเพื่อให้เกิดการตัดสินใจซื้อ (Conversion) แม้แนวทางดังกล่าวจะใช้ระยะเวลายาวนานพอสมควร แต่ Leads หรือกลุ่มเป้าหมาย จะได้รับข้อมูลหรือสิ่งที่แคมเปญต้องการสื่อสารครบ มีส่วนช่วยทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อที่ง่ายขึ้น
ในขณะที่ การเก็บ Leads ด้วยแนวทาง Skip-to Conversion มุ่งเน้นการให้ Leads แสดงความสนใจซื้อผ่านการลงทะเบียนด้วยการกรอกแบบฟอร์ม เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ แม้จะใช้ระยะเวลาที่สั้นกว่า แต่ Leads ที่มีการกรอกฟอร์มมา เป็น Leads ที่ยังไม่พร้อมตัดสินใจซื้อ หรืออาจยังอยู่ในช่วงเริ่มสนใจเท่านั้น สุดท้าย แบรนด์ยังต้องมีการให้ข้อมูลเพิ่มเติมมากมาย เช่น โบรชัวร์สินค้า รายละเอียดโปรโมชัน ฯลฯ ทำให้สัดส่วนที่ปิดการขายได้ (Conversion rate) นั้นค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับแนวทางแรก
ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลแคมเปญการตลาดของแบรนด์รถยนต์บนแพลตฟอร์ม LINE ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่า การเก็บ Leads แบบ Go-thru Funnel ผ่านการลงโฆษณาบน LINE Ads ด้วยวัตถุประสงค์ ‘เข้าชมเว็บไซต์’ (Web Visit) ให้ผลที่ดีที่สุดทั้งในด้านต้นทุนและความพร้อมของ Leads ในการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์ ‘เว็บคอนเวอร์ชัน’ (Web Conversion) ด้วยผลลัพธ์ต้นทุนต่อ Leads (CPL) ที่ต่ำกว่าถึง 100% โดยปัจจัยสำคัญในการเก็บ Leads แบบ Go-thru Funnel บน LINE Ads ด้วยวัตถุประสงค์ ‘เข้าชมเว็บไซต์’ ให้เกิดประสิทธิภาพ คือการรวบรวมและสร้างกลุ่มเป้าหมายแบบกำหนดเอง (Custom Audience) จากกลุ่มที่มีแนวโน้มสนใจที่จะซื้ออยู่แล้ว อย่างกลุ่มลูกค้าที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ และเพื่อนหรือผู้ติดตาม LINE OA เพื่อให้แบรนด์สามารถนำกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวมาทำแคมเปญ Re-targeting ต่อไปได้อย่างมีประสิทธิผล โดยแนะนำว่า ขนาดของกลุ่มเป้าหมายแบบกำหนดเองที่แบรนด์สร้าง ไม่ควรต่ำกว่า 100,000 คน