วันที่ 3 พฤษภาคม 2566 ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ให้เกียรติกล่าวบรรยายการสัมมนาวิชาการ หัวข้อ “ภาวะผู้นำในการสร้างความสำเร็จ” แก่นักศึกษาคณะรัฐประศาสนศาสตร์ และคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เพื่อจุดประกายความพร้อม ดึงศักยภาพและปลุกพลังงานในตัวนักศึกษาให้ลุกมาขับเคลื่อนชีวิตและเศรษฐกิจสังคมของประเทศไปสู่ความสำเร็จ โดย ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดี และคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย ให้การต้อนรับ ณ อาคารอธิการบดี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า 3 ปีที่ผ่านมาของการทำงาน กระทรวง อว. มีความสำเร็จเป็นส่วนมาก มีการปรับเปลี่ยนปฏิรูปอุดมศึกษามากที่สุดในอาเซียน การจะทำอะไรต้องคิดภาพใหญ่ เช่น อว. จะเป็นกระทรวงแห่งการปฏิบัติ การพัฒนา ไม่ใช่มุ่งเน้นแต่การวิจัย โดยวางไว้ว่าในปี 2580 ไทยจะต้องเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วให้ได้ และ อว. ต้องเป็นส่วนหนึ่งในการนำพาประเทศไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว เราจะต้องเปลี่ยน Mindset ของการทำงานให้เป็นแบบใหม่ อย่าทำอะไรแบบทำไปเรื่อย ๆ ต้องปักธงทำแบบเป็นรูปธรรม
นอกจากนั้น ต้องทำให้เร็ว ก้าวให้ยาว จึงจะทันคนอื่น สำหรับกระทรวง อว. ได้มีโครงการสำคัญออกมามากมาย เช่น 1.โครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล U2T เปิดรับบัณฑิตจบใหม่และประชาชนในพื้นที่เข้าทำงานจนเศรษฐกิจฐานรากฟื้น เกิดการสร้างงานสร้างรายได้หมุนเวียนยกระดับเศรษฐกิจและสังคมกว่า 5 เท่าหรือกว่า 50,000 ล้านบาท 2.โครงการ Higher Education Sandbox มิติใหม่การจัดทำหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา เรียน 3 ปี ทำงานทันทีเพื่อตอบโจทย์ความต้องการกำลังคนอย่างมีศักยภาพแบบเร่งด่วน 3.โครงการ Cooperative and Work Integrated Education หรือ CWIE กลไกการจัดการเรียนการสอนที่สถาบันอุดมศึกษาและสถานประกอบการดำเนินการร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสถาบันอุดมศึกษาควบคู่กับการปฏิบัติงานจริง ช่วยพัฒนาสมรรถนะทักษะตรงความต้องการของตลาดงานและพร้อมสู่โลกของการทำงานจริง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงคุณสมบัติผู้นำที่ดีที่ประสบความสำเร็จที่ทุกคน และเยาวชนคนรุ่นใหม่พึงนำมาปรับใช้
ดร.เอนก เปิดเผยถึง “ภาวะผู้นำในการสร้างความสำเร็จ” และทักษะภาวะผู้นำ หรือ “Leadership” ของผู้นำองค์กร ว่าต้องประกอบไปด้วยคุณสมบัติทั้งเชิงความคิดและพฤติกรรม 9 ข้อ ได้แก่ 1.เริ่มแรกคิดต้องมองภาพใหญ่ 2.ไม่ดูแคลนตัวเองและคนอื่น ไม่พูดเกินจริงในเรื่องที่ประสงค์ลงมือทำ 3.ตั้งเป้าในเรื่องที่ทำได้และสำเร็จเร็วใน 14 วัน หรือ 2 เดือนยิ่งดี 4.ชอบอ่านเพราะหนังสือคือปราชญ์ชั้นยอดในการสร้างไอเดียหรือสรุปสิ่งที่ทำอยู่นั้นไปต่อได้หรือไม่ 5.ทำงานด้วย Passion เสมอๆ จะช่วยบรรลุผลและทำแบบไม่มีวันเหนื่อย 6.มองปัญหาอย่างเข้าใจพร้อมพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส 7.ถ่อมตน 8.ใจแข็งมุ่งมั่น 9.กำหนดยุทธศาสตร์ทางลัดทุกครั้งที่ลงมือปฏิบัติ
“สิ่งแรกที่ผมทำเลยคือการคิดภาพใหญ่ให้กระทรวง ว่า กระทรวง อว. ต้องเป็นกระทรวงแห่งปฏิบัติ ไม่ใช่กระทรวงที่สอนและวิจัยเท่านั้น โดยทำอย่างกระชับ เพราะถ้ายาวเกินไปมันก็ไม่เป็นภาวะผู้นำ เราเน้นว่า เราจะเป็นหน่วยปฏิบัติทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเป็นหน่วยที่ปฏิบัติเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และเศรษฐกิจการท่องเที่ยวครีเอทีฟ จากนั้นก็คิดต่อว่าภายในปี 2580 ต้องทำอะไร ซึ่งกำหนดเป็นหมุดหมายของแผนยุทธศาสตร์ของชาติที่ประเทศไทยทั้งหมดต้องเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ท้าทายมาก เพราะเราพัฒนามาเรื่อยๆ 60 ปี เราไม่เคยประกาศว่าปีไหนสำเร็จ” ดร.เอนก กล่าว
ดร.เอนก กล่าวต่อว่า วิธีการก้าวเดินที่จะทำให้ประเทศสำเร็จได้ คือ ‘Giant Feet’ ก้าวให้เหมือนยักษ์ เพราะเรามีวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของชาติอาเซียน เป็นรองเพียงแค่ประเทศสิงคโปร์เท่านั้น เมื่อก่อนถ้าบอกว่าเราจะส่งยานอวกาศไปโคจรรอบดวงจันทร์ ก็มีคนไม่เชื่อและวิพากษ์วิจารณ์ดูแคลน ซึ่งจริงๆ เราไม่ได้จะไปดวงจันทร์เพราะเห่อตามกระแส แต่ถ้าเราไปได้เราจะเปลี่ยน Mindset ว่าคนไทยเก่ง จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากมายมหาศาล
“ผู้นำต้องมี Passion ความหลงใหลรักทุ่มเท ต้องคิดไว 2 อาทิตย์ 2 เดือนสำเร็จยิ่งดี ที่สำคัญต้องเห็นโอกาส จุดแบ่งระหว่างเป็นผู้นำกับผู้ตาม คือผู้ตามมักเห็นอะไรเป็นปัญหาซึ่งพาหดหู่ ผู้นำต้องเผยอตัวขึ้นมากกว่าความเป็นจริงที่ผู้ใต้บังคับบัญชากำลังคุยกันอยู่ แล้วพาให้เขาเห็นโอกาส อย่างเป็นรัฐมนตรีว่าการฯ ไม่ทันได้คิดที่จะทำอะไรก็โดนโจมตี ถ้าคิดแบบคนธรรมดาทั่วไปก็ไม่คิดเปลี่ยนแปลง อย่างช่วงโควิด-19 กระทรวง อว. ก็ไปช่วยกระทรวงสาธารณสุข ทำให้คนไทยเห็นว่าโรงพยาบาลที่ดีที่สุดคือ โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ของเรา จึงเกิดผลงานมากมายอย่างรวดเร็ว อาทิ การผลิตหน้ากาก N95 การสร้างห้องความดันลม กระทั่งผลิตวัคซีนโควิด-19 และรักษาป้องกันโรคอื่นๆ ที่เคยสั่งซื้อจากต่างประเทศ นอกเหนือการปฏิรูปแก้ไขอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับอุดมศึกษาในปีที่แล้ว 2564 สร้างมูลค่าแก่สังคมและเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท”
“เราต้องกล้าฉีก เราอาจจะต้องฝึกให้ใจแข็งบ้าง ต้องมีทางลัดทางเลี่ยงทางเบี่ยง การจะเอาชนะใช้แต่วิชาการไม่พอ ต้องใช้ยุทธศาสตร์ด้วย หลักการที่ถูกต้อง คือ ถ้าเราไม่พร้อม เราจะต้องมียุทธวิธีเอาชนะคนที่พร้อมได้ ต้องคิดว่า ขอบคุณที่เขาไม่ทำ ผมจะได้ทำ เดี๋ยวก็สำเร็จให้คิดแบบนี้ อย่าคิดว่าไม่พร้อมจะไปชนะคนพร้อมได้อย่างไร พร้อมน้อยจะไปชนะพร้อมมากได้อย่างไร ยุคนี้ชัยชนะมาจากคนที่เร็วกว่า ไม่ใช่พร้อมกว่า และปลาใหญ่จำนวนมากถูกปลาเล็กที่เร็วกว่ากลืนกินเป็นอาหาร” ดร.เอนก กล่าวทิ้งท้าย