มิติใหม่ของการทำธุรกิจ ที่ต้องใส่ใจ “คาร์บอนฟุตพรินต์”

มิติใหม่ของการทำธุรกิจ ที่ต้องใส่ใจ “คาร์บอนฟุตพรินต์”
นอกจากเรื่องของความยั่งยืน
ที่เป็นแนวทางการบริหารธุรกิจที่หลายองค์กรหันมาให้ความสำคัญเป็น
อย่างมากในยุคนี้ ประเด็นของ “การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก”
ที่มีความเกี่ยวของกับความยั่งยืนในทุกมิติ
ก็เป็นอีกเรื่องสำคัญที่องค์กรจำนวนมากในประเทศไทยกำลังตื่นตัว
และผลักดันให้ “คาร์บอนฟุตพรินต์”
ถูกนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่าง ๆ
ขององค์กร เพื่อให้ทราบว่าองค์กรต่าง ๆ
มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณเท่าไร
และจะทำอย่างไรให้ตัวเลขนั้นลดลง
อย่างไรก็ตาม
คาร์บอนฟุตพรินต์ไม่ได้มีความสำคัญเฉพาะในแง่ของการลดผลกระทบ
ต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น
แต่ยังสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดที่ผู้บริโภคให้ความ
สำคัญกับความยั่งยืนด้วย จึงได้กลายมาเป็นมิติใหม่ของการทำธุรกิจ
ที่ไม่เพียงต้องปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมระดับ
โลก
แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับทั้งองค์กรและสังคมโด
ยรวม
คาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint) คืออะไร
กิจกรรมในชีวิตประจำวันของมนุษย์มักมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออก
มาตามธรรมชาติ เช่น การหายใจ การย่อยอาหาร การขับถ่าย
แม้ว่ากระบวนการเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรธรรมชาติ
และอาจปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาในปริมาณที่น้อยมาก ๆ

แต่ก็มีส่วนในการเพิ่มความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากา

เนื่องจากกิจกรรมในชีวิตของมนุษย์ไม่ได้มีเท่านี้
มนุษย์ยังมีการบริโภคและใช้พลังงานในครัวเรือน
มนุษย์ทำเกษตรกรรมและปศุสัตว์ มนุษย์ต้องเดินทางและขนส่ง
มนุษย์ทำอุตสาหกรรมและการผลิตต่าง ๆ
มนุษย์ใช้ทรัพยากรธรรมชาติมาผลิตเป็นพลังงาน มนุษย์ผลิตขยะ
รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่า
และการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในรูปแบบอื่น ๆ
ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นการเพิ่มความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกทั้งสิ้
น ในที่สุด
ก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ก็กลายมาเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน
การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศอื่น ๆ
และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่นับวันก็ยิ่งทวีความรุนแรง
เมื่อเราตระหนักได้ว่าปัญหาดังกล่าวกำลังคุกคามเราอย่างหนัก
หลายภาคส่วนจึงเริ่มตื่นตัวกับการดำเนินการต่าง ๆ
เพื่อที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง ตั้งแต่ระดับบุคคล
ระดับครัวเรือน จนเป็นภาพที่ใหญ่ขึ้นในระดับองค์กร ระดับอุตสาหกรรม
ระดับประเทศ และระดับโลก
แต่ถ้าเราจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่าง ๆ
เราก็จำเป็นต้องรู้ก่อนว่ากิจกรรมเหล่านั้นปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริม
าณเท่าไร แค่ไหนที่เรียกว่ามากว่าน้อย
แล้วมาคิดหาวิธีกันต่อว่าจะทำอย่างไรให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดล
ง ดังนั้น เราจึงต้องมี “เครื่องมือ” ที่จะวัดว่ากิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์
มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากแค่ไหน
ปัจจุบัน คาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint)
คือเครื่องมือที่ใช้วัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

โดยสามารถบ่งชี้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาจากกิจกรรม
ของมนุษย์ตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ บริการ หรือองค์กร
รวมถึงกระบวนการในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ซึ่งจะวัดออกมาในรูปตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e)
คาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (Carbon Footprint for
Organization: CFO) คืออะไร
คาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization:
CFO)
เป็นวิธีการแสดงข้อมูลปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกที่เ
กิดจากการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร ทั้งทางตรงและทางอ้อม
เช่น การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง การใช้ไฟฟ้า การจัดการของเสีย
และการขนส่ง เป้าหมายก็คือ
เพื่อให้ภาพรวมของปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งในระดับองค์กรและระดั
บประเทศลดลง
คาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร
จะมีการเก็บข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจกตลอด 1 ปี มี ISO 14064-1
เป็นมาตรฐานสากลในการกำกับและรับรองในระดับประเทศ
กำหนดขอบเขตการดำเนินการออกเป็น 3 ขอบเขต คือ
1. การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางตรง
จากแหล่งกำเนิดหรือกิจกรรมต่าง ๆ ภายในองค์กรโดยตรง เช่น
การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในเครื่องจักรในโรงงาน
การเผาไหม้เชื้อเพลิงในยานพาหนะของบริษัท
การปล่อยก๊าซมีเทนจากบ่อบำบัดน้ำเสีย การรั่วซึม/รั่วไหล
จากกระบวนการหรือกิจกรรม เป็นต้น

2. การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม
จากการใช้พลังงานไฟฟ้า พลังงานความร้อน พลังงานไอน้ำ
ที่ซื้อมาจากภายนอกเข้ามาใช้ในองค์กร
3. การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากกิจกรรมอื่น ๆ
เช่น การขนส่งสินค้า การเดินทางไปติดต่อธุรกิจ
การใช้วัสดุสิ้นเปลือง
โดยขั้นตอนของการทำการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร หลัก
ๆ แล้วคือ “วัด-ลด-ชดเชย” กล่าวคือ ต้องทำการ “วัด”
ก่อนว่าองค์กรมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากส่วนไหนบ้าง
ปล่อยออกมาปริมาณเท่าไรในเชิงตัวเลข ถ้าไม่วัดก็จะไม่ทราบว่าต้อง
“ลด” ตรงไหน
ในขั้นตอนนี้คือการหาวิธีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง
ประหยัดการใช้พลังงาน วางแผนซ่อมบำรุงเครื่องจักร ลงทุนในอุปกรณ์
รวมถึงการลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นโซลูชัน
เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลในการลดการปล่อยและเพิ่มการดูดกลับการปล่อยก๊าซ
เรือนกระจก แต่ถ้าการลดเป็นเรื่องยาก ก็สามารถ “ชดเชย” ได้เช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นการทำโครงการปลูกป่าหรือฟื้นฟูระบบนิเวศ
หรือการซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER (Thailand Voluntary
Emission Reduction Program)
โครงการขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
หรือ TGO
ทำไมต้องใส่ใจเรื่องการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร
การประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร
กลายเป็นอีกเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
เพราะตัวเลขของคาร์บอนฟุตพรินต์จะไม่ได้มีประโยชน์แค่นำไปสู่การล
ดและชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น

แต่ยังมีความสำคัญในแง่ของการทำธุรกิจด้วย
โดยฌฉพาะการติดต่อซื้อขายกับต่างประเทศและองค์กรระดับโลก
การจะนำธุรกิจเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทใหญ่ ๆ
จำเป็นต้องมีข้อมูลการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร
ซึ่งจะเป็นใบรับรองว่าผ่านการขึ้นทะเบียนโดยองค์การบริหารจัดการก๊า
ซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
การมีใบรับรองการขึ้นทะเบียน “คาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร”
จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรมีความตระหนักและได้มีส่วนร่วมต่อสถาน
การณ์ก๊าซเรือนกระจก และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน
ด้วยการแสดงข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการดำเนินงานข
ององค์กร
และนำไปสู่การกำหนดแนวทางการบริหารจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเ
รือนกระจกขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ใบรับรองนี้จะสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งในการทำธุรกิจ
เนื่องจากองค์กรใหญ่ ๆ ที่จะทำการซื้อขายกับคู่ค้า
ก็เป็นองค์กรที่ต้องตอบสนองกับเทรนด์โลก
ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกั
น เมื่อจะทำธุรกิจกับองค์กรอื่น
จึงต้องร้องขอใบรับรองดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาด้วย
เกิดความแตกต่างระหว่างองค์กรที่มีใบรับรองว่าผ่านการประเมินคาร์บอ
นฟุตพรินต์ขององค์กร กับองค์กรที่ไม่มี
แต่ถ้าหากว่าทั้งสององค์กรมีใบรับรองว่าผ่านการประเมินคาร์บอนฟุตพ
รินต์ขององค์กรทั้งคู่
ตัวเลขของค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ต่ำกว่าและต่ำลงจากการพยายามลดก
ารปล่อยและเพิ่มการดูดกลับของก๊าซเรือนกระจก ก็จะยิ่งได้เปรียบ

ไม่เพียงเท่านั้น
ปัจจุบันประเทศไทยมีร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการก๊าซเรือน
กระจก ที่จะมีการประกาศใช้ในอนาคตอันใกล้นี้
ซึ่งจะครอบคลุมเรื่องการกำหนดมาตรฐานและการบริหารจัดการ
สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการจัดการกับปัญหากา
รเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลดผลกระทบจากคาร์บอนฟุตพรินต์ใ
นระยะยาว เช่น
ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่มีเป้าหมายเพื่อบรรลุการลดก๊าซเรือนกระจก
ภายในปี 2065
มีการกำหนดให้ภาคเอกชนต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น
การจัดทำการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (CFO)
และผลิตภัณฑ์ (CFP) เป็นประจำทุกปี ปีละ 1 ครั้ง
และยังครอบคลุมถึงระบบการซื้อขายสิทธิ์ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โครงการซื้อขายคาร์บอนเครดิต รวมถึงเรื่องระบบภาษีคาร์บอน
นอกจากนี้ยังมี
ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอนเครดิต
ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกและการพัฒนาตลาด
คาร์บอนเครดิตในประเทศไทย
โดยกำหนดกรอบการดำเนินงานและมาตรการต่าง ๆ
เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
เพราะก๊าซเรือนกระจก
คือตัวการสำคัญของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ
ที่ส่งผลอย่างมากต่อระบบนิเวศ
การทำคาร์บอนฟุตพรินต์จะช่วยให้เราเข้าใจถึงผลกระทบของก๊าซเรือ
นกระจกต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

จากการวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่าง
ๆ กระตุ้นให้องค์กรต่าง ๆ
หาวิธีการในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรตนเอง
จึงช่วยส่งเสริมสังคมคาร์บอนต่ำ ส่งเสริมความยั่งยืน
สร้างภาพลักษณ์ที่ดี
และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจด้วย
บริษัท น้ำมันอพอลโล (ไทย) จำกัด
มีใบรับรองคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร
ด้วยเล็งเห็นความสำคัญในการลดการปล่อยและเพิ่มการดูดกลับก๊าซเรือ
นกระจกในกระบวนการผลิต บริษัท น้ำมันอพอลโล (ไทย) จำกัด
จึงจัดทำรายงานบัญชีรายการปริมาณก๊าซเรือนกระจก
โดยมีจุดมุ่งหมายในการลดการปล่อย เพิ่มการดูดกลับ
และสามารถทวนสอบผลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
เพื่อเป็นแนวทางบรรลุเป้าหมายที่จะลดการปล่อยคาร์บอนในองค์กร
10% ภายในปี 2578 (ค.ศ. 2035)
บรรลุเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)
ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050)
และบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero
Emissions) ให้ได้ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065)
โดยยื่นขอการรับรองคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร
ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์
วันที่ 5 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา บริษัท น้ำมันอพอลโล (ไทย) จำกัด
(สำนักงานใหญ่)
ได้รับใบรับรองว่าเป็นองค์กรที่ได้ขึ้นทะเบียนและขอรับรองการแสดงปริ
มาณคาร์บอนฟุตพรินต์ ในปี 2565
จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO)

ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดและแนวทางการจัดการก๊าซเรือนกระจกในอง
ค์กร
ไม่เพียงเท่านั้น บริษัท น้ำมันอพอลโล (ไทย) จำกัด
ยังให้ความสำคัญกับการดำเนินกิจกรรมชดเชยคาร์บอนอย่างต่อเนื่อง
ด้วยกิจกรรมปลูกป่าเพิ่มต้นไม้สีเขียว
แหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ
และนำไปกักเก็บในรูปของพลังงานชีวมวล
รวมถึงเพื่อทดแทนกับปริมาณกระดาษที่บริษัทนำมาใช้ในกระบวนการต่
าง ๆ เช่น กล่องบรรจุภัณฑ์ และกระดาษที่ใช้ในสำนักงานอีกด้วย
จึงแสดงให้เห็นว่า บริษัท น้ำมันอพอลโล (ไทย) จำกัด
ให้ความสำคัญกับเรื่องของการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ตามแนวทางของความยั่งยืนอย่างจริงจัง
การประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร
สามารถประยุกต์ใช้ได้กับองค์กรทุกประเภทและทุกขนาด
เป็นวิธีการแสดงข้อมูลบัญชีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการ
ดำเนินงานระดับองค์กร
ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดแนวทางการบริหารจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊า
ซเรือนกระจกได้อย่างตรงจุด มีประสิทธิภาพ
และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้สูงสุด
ทั้งยังนำไปสู่การลดค่าใช้จ่ายขององค์กรจากการลดใช้การใช้พลังงาน
และสามารถใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
สนับสนุนและมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนของประเทศไทย
และเป็นตัวชี้วัดให้แก่องค์กรในโครงการประเมินและจัดระดับธุรกิจคาร์
บอนต่ำและยั่งยืนด้วยนั่นเอง
บทความประชาสัมพันธ์จาก : บริษัท น้ำมันอพอลโล (ไทย) จำกัด
www.apollothai.com

Author photo