พิพิธภัณฑ์ V&A ลอนดอน จัดนิทรรศการเครื่องประดับและเรือนเวลาคาร์เทียร์ครั้งยิ่งใหญ่
พิพิธภัณฑ์ V&A ลอนดอน จัดนิทรรศการเครื่องประดับและเรือนเวลาคาร์เทียร์ครั้งยิ่งใหญ่
ครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปี
ลอนดอน สหราชอาณาจักร, 9 พฤษภาคม 2568 – พิพิธภัณฑ์วิคตอเรียแอนด์อัลเบิร์ต (V&A) แห่งกรุงลอนดอน เตรียมเปิดแสดงนิทรรศการเครื่องประดับและเรือนเวลาคาร์เทียร์ ครั้งแรกในสหราชอาณาจักรในรอบเกือบ 30 ปี วันที่ 12 เมษายน – 16 พฤศจิกายน 2568 นี้ โดยจะนำผู้ชมไปสำรวจที่มาของความเป็นที่สุดแห่งโลกเครื่องประดับอัญมณีและเรือนเวลาของคาร์เทียร์ ผู้สนใจสามารถจองบัตรเข้าชมได้แล้ววันนี้
นิทรรศการ ‘Cartier’ นำเสนอความเป็นมาของมรดกด้านศิลปะ การออกแบบ และงานฝีมือของคาร์เทียร์ นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ผ่านชิ้นงานจัดแสดงกว่า 350 ชิ้น โดยช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นี้คือช่วงเวลาสำคัญที่สามพี่น้อง หลานปู่ของหลุยส์-ฟรองซัวส์ คาร์เทียร์ (Louis-François Cartier) ผู้ก่อตั้งเมซง มุ่งก่อร่างสร้างคาร์เทียร์ให้เป็นเมซงเครื่องประดับที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก โดยทั้งสามได้เปิดสาขาในมหานคร 3 แห่ง ได้แก่ ปารีส ลอนดอน และนิวยอร์ก ลูกค้าคนสำคัญอย่างเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูง ทำให้คาร์เทียร์ได้รับสมญาว่าเป็น ‘ช่างเครื่องประดับของราชาและราชาแห่งช่างเครื่องประดับ’ (‘The jeweller of kings and the king of jewellers’) ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นจากบรรดาผู้มีชื่อเสียงชั้นแนวหน้าของวงการภาพยนตร์ เพลง และแฟชั่น
นิทรรศการครั้งนี้นำเสนอเครื่องประดับล้ำค่าและชิ้นงานอันน่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็นอัญมณีชิ้นประวัติศาสตร์ เรือนเวลาและนาฬิกาตั้งโต๊ะระดับไอคอนจาก V&A และคาร์เทียร์ คอลเลคชั่น (Cartier Collection) รวมถึงภาพร่างที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน นอกจากนี้ยังมีชิ้นงานของราชวงศ์อังกฤษ (Royal Collection) ที่สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 พระราชทานให้ยืมมาจัดแสดง ชิ้นงานจากพิพิธภัณฑ์สำคัญในสหราชอาณาจักรและนานาประเทศ ตลอดจนคอลเลคชั่นส่วนบุคคลอีกด้วย
นิทรรศการนี้ออกแบบโดยอาซิฟ คาน (Asif Khan, MBE) สถาปนิกและศิลปินชาวอังกฤษ ซึ่งนับเป็นการสืบสานแนวทางการทำงานร่วมกันกับศิลปินเพื่อรังสรรค์การออกแบบจัดแสดงอันเป็นเอกลักษณ์ประจำเมซง
ผลงานชิ้นไฮไลท์ในนิทรรศการ
เข็มกลัดเพชรวิลเลียมสัน ที่สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ทรงโปรดให้คาร์เทียร์ประดิษฐ์ขึ้นถวายในปี 1953 โดยใช้เพชรวิลเลียมสัน (Williamson Diamond) เพชรสีชมพูหายากขนาด 23.6 กะรัต
สโกรลเทียร่า (Scroll Tiara) ที่รังสรรค์ขึ้นในปี 1902 ก่อนจะมีผู้สวมใส่ไปร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งต่อมาในปี 2016 รีแอนนา (Rihanna) ก็ได้สวมขึ้นปกนิตยสาร W
เข็มกลัดดอกกุหลาบ (1938) ที่เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตแห่งอังกฤษทรงสวมในพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระเชษฐภคินี
แหวนหมั้นของเกรซ เคลลี่ (1956) จาก Monaco Princely Palace Collection ซึ่งเป็นแหวนที่เกรซ เคลลี่สวมในภาพยนตร์เรื่อง High Society (1956) ที่เธอแสดงเป็นเรื่องสุดท้ายก่อนเข้าพิธีเสกสมรสกับเจ้าชายเรนิเยร์แห่งโมนาโก
เข็มกลัดแอมิทิสต์และแซฟไฟร์ ที่คาร์เทียร์ลอนดอนรังสรรค์ขึ้น (ราวปี 1933) และสวมใส่โดยเนลลี่ ภรรยาของฌาคส์ คาร์เทียร์ (Jacques Cartier)
สร้อยคองู (1968) อันงดงามสุดตระการตาของมาเรีย เฟลิกซ์ (Maria Félix) ดาราภาพยนตร์ชาวเม็กซิโก
แมนเชสเตอร์เทียร่า (Manchester Tiara) อันสง่างามจากคอลเลคชั่นของ V&A ซึ่งเป็นผลงานที่คาร์เทียร์รังสรรค์ให้กับดัชเชสแห่งแมนเชสเตอร์ ในปี 1930
คอลเลคชั่นเครื่องประดับเสือแพนเตอร์ หนึ่งในสัญลักษณ์โดดเด่นเป็นที่จดจำมาอย่างยาวนานของคาร์เทียร์ อย่างกำไลข้อมือเพชรประดับออนิกซ์ (1978)
เรือนเวลาที่สะท้อนเอกลักษณ์แนวคิดบุกเบิกในการสร้างสรรค์ประดิษฐกรรมเวลาของคาร์เทียร์หนึ่งในนั้นคือนาฬิกาข้อมือแครช (Crash) ที่คาร์เทียร์ลอนดอนออกแบบขึ้นในปี 1967
เฮเลน โมลส์เวิร์ธ (Helen Molesworth) และเรเชล การ์ราแฮน (Rachel Garrahan) ภัณฑารักษ์ประจำนิทรรศการ กล่าวว่า “คาร์เทียร์คือหนึ่งในผู้รังสรรค์เครื่องประดับที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก และนิทรรศการครั้งนี้บอกเล่าวิธีการของหลุยส์ ปิแอร์ และฌาคส์ คาร์เทียร์ รวมถึงบิดาของทั้งสาม คือ อัลเฟรด คาร์เทียร์ ในการใช้กลยุทธ์การออกแบบที่แปลกใหม่ในแบบฉบับของตัวเอง ทักษะงานฝีมือชั้นเลิศ และการขยายธุรกิจในระดับนานาชาติ เข้ามาพลิกโฉมกิจการเครื่องประดับของครอบครัวในปารีสให้กลายเป็นที่รู้จักทั่วโลก พิพิธภัณฑ์ V&A เป็นเจ้าของคอลเลคชั่นเครื่องประดับระดับโลก จึงเป็นเวทีที่เหมาะสมที่สุดในการยกย่องความสำเร็จในฐานะผู้บุกเบิกของคาร์เทียร์ รวมทั้งความสามารถในการปรับตัวที่ช่วยให้คาร์เทียร์สามารถยืนหยัดอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของวัฒนธรรมและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มายาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษ เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้นำผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของคาร์เทียร์หลายชิ้นมาจัดแสดง พร้อมกับเผยโฉมชิ้นงานในอดีตหลายชิ้นที่ไม่เคยปรากฏต่อสายตาสาธารณชนมาก่อน ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจเมซงเครื่องประดับที่ทรงอิทธิพลต่อวิธีประดับประดาร่างกายของเราจวบจนทุกวันนี้ได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น”
อาซิฟ คาน ผู้ออกแบบนิทรรศการ กล่าวว่า “ผมอยากให้การทำงานร่วมกันของเราครั้งนี้เป็นฉากฝันที่ศิลปะและวิทยาการมาบรรจบกัน ให้ผลงานของคาร์เทียร์ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางแสง เสียง และกาลเวลา ให้ประวัติศาสตร์ได้หายใจ และให้อนาคตคงอยู่กับเราต่อไป”
นิทรรศการแบ่งเป็นสามส่วนหลัก โดยแต่ละส่วนล้วนถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ของคาร์เทียร์อย่างเต็มเปี่ยมตั้งแต่จุดเริ่มต้นของสไตล์เฉพาะตัว มรดกด้านเทคนิคอันชาญฉลาด และงานฝีมืออันประณีต ตลอดจนแนวทางในการสร้างภาพจินตนาการ การรักษามรดกความเป็นคาร์เทียร์ควบคู่ไปกับการคงอยู่อย่างมีความหมายในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ นอกจากนี้นิทรรศการยังฉายให้เห็นภาพประวัติศาสตร์ของคาร์เทียร์ลอนดอน ก่อนจะถึงบทสรุปด้วยการนำเสนอเทียร่าอันงดงามสุดตระการตา
นิทรรศการ Cartier
พิพิธภัณฑ์ V&A เซาธ์ เคนซิงตัน
เดอะ เซนส์บิวรี่ แกลเลอรี่ (The Sainsbury Gallery)
12 เมษายน – 16 พฤศจิกายน 2568
vam.ac.uk/exhibitions/cartier | @V_and_A
เกี่ยวกับนิทรรศการ
นิทรรศการเปิดฉากขึ้นด้วยการแนะนำให้ผู้เข้าชมได้รู้จักกับหลุยส์ ปิแอร์ และฌาคส์ คาร์เทียร์ สามพี่น้องผู้รวมใจเป็นหนึ่ง เพื่อขยายกิจการของครอบครัวที่ปู่ของทั้งสามก่อตั้งขึ้นในปี 1847 ให้เติบโตเป็นธุรกิจที่มีชื่อเสียงระดับโลก ความผูกพันอันแน่นแฟ้นและทักษะที่แตกต่างแต่เกื้อกูลส่งเสริมกันของสามพี่น้อง ช่วยให้คาร์เทียร์สามารถขยายกิจการออกไปในสังคมชั้นสูงระดับนานาชาติ ผลงาน
ที่จัดแสดงในส่วนนี้ ประกอบด้วยแมนเชสเตอร์เทียร่า (Manchester Tiara) อันงามสง่าที่คาร์เทียร์ออกแบบเมื่อปี 1903 และรังสรรค์ขึ้นในฝรั่งเศสเพื่อสตรีชาวอเมริกันที่สมรสกับชาวอังกฤษ โดยถือเป็นผลงานสะท้อนให้เห็นแรงบันดาลใจของคาร์เทียร์ในยุคแรกเริ่มและการเติบโตในฐานะธุรกิจระดับโลกในยุคต่อมา ปัจจุบันแมนเชสเตอร์เทียร่าอยู่ในความครอบครองของพิพิธภัณฑ์ V&A
เนื้อหาหลักของนิทรรศการแบ่งเป็น 3 ส่วน โดยส่วนแรกมุ่งนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ของคาร์เทียร์ แหล่งที่มาของแรงบันดาลใจ จุดเริ่มต้นของสไตล์เฉพาะตัว สายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับลูกค้าคนสำคัญ ตลอดจนผลงานชั้นเลิศหลายต่อหลายชิ้นที่เกิดจากการทำงานร่วมกับลูกค้าเหล่านี้ ความคิดสร้างสรรค์ระดับอัจฉริยะของคาร์เทียร์ปรากฏให้เห็นเด่นชัดในการศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ของศิลปะตกแต่ง ทั้งจากแหล่งใกล้ตัวและแหล่งอื่นๆ ทั่วโลกในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 20 ก่อนนำมาถ่ายทอดเป็นผลงานจากจินตนาการผ่านสายตาอันเฉียบคมแบบเฉพาะไม่เหมือนใคร นิทรรศการพาไปสำรวจต้นกำเนิดของ ‘การ์แลนด์ สไตล์’ (Garland Style) สไตล์ความงามแบบอิสตรีที่โรแมนติกหรูหราบนความโปร่งเบา ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมและมัณฑนศิลป์ของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 18 รวมทั้งผลงานยุคแรกที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอารยธรรมทั่วโลก เช่น เข็มกลัดรูปแมลงสการับ (Scarab Brooch) ของคาร์เทียร์ ลอนดอนที่ประดับอัญมณีเจียระไนทรงคาลิเบอร์ (calibré cut) บนปีก งานฉลุลายฝังเพชรที่ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องประดับสวมต้นแขนแบบดั้งเดิมของอินเดีย และเข็มกลัดรูปโล่ (plaque brooch) ฝังเพชรวิจิตรงดงามด้วยแรงบันดาลใจจากศิลปะอิสลาม ที่ทางพิพิธภัณฑ์ได้รับมอบเป็นที่ระลึกในนิทรรศการคาร์เทียร์ และนำออกจัดแสดงเป็นครั้งแรกในงานนี้
นิทรรศการส่วนนี้ยังพาผู้เข้าชมไปค้นพบการพัฒนาสไตล์เฉพาะตัวของคาร์เทียร์ที่เป็นเอกลักษณ์ติดตาตรึงใจ โดยเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างนวัตกรรมอันทันสมัย กับความสง่างามวิจิตรประณีต ตั้งแต่แรกเริ่มคาร์เทียร์ได้ทดลองใช้ลวดลายปรากฏซ้ำบนเส้นสายหลักและสร้างความแตกต่างด้วยการจับคู่สีอย่างโดดเด่น หรือสร้างความกลมกลืนระหว่างพื้นที่กับรูปทรง รวมไปถึงเลือกใช้วัสดุและฝีมือช่างที่เป็นเลิศเหนือระดับ เพื่อขยายขอบเขตความคิดสร้างสรรค์ออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนก่อให้เกิดปรัชญาการออกแบบที่ไม่อาจลอกเลียนแบบได้ ตัวอย่างผลงานในสไตล์อาร์ตเดโคที่เด่นชัดของคาร์เทียร์ ได้แก่ เข็มกลัดเรขาคณิต จากปี 1925 ที่จับคู่คอรัลสีส้มกับมรกตสีเขียวสะดุดตา และเข็มกลัดแพลทินัมฝังเพชรไวท์ไดมอนด์ ผลงานปี 1941 จากคาร์เทียร์ ลอนดอน ที่เรียบง่ายลงตัวในโทนโมโนโครม
สามพี่น้องคาร์เทียร์เชี่ยวชาญในการสานสายสัมพันธ์กับลูกค้าระดับสูง และความสัมพันธ์เหล่านี้ก็เป็นที่มาของผลงานชิ้นไอคอนิคหลายชิ้น หนึ่งในชิ้นงานไฮไลท์ในส่วนนี้ ได้แก่ เข็มกลัดเพชรวิลเลียมสัน (Williamson Diamond Brooch) ที่หยิบยืมมาจากคอลเลคชั่นของราชวงศ์อังกฤษ เข็มกลัดนี้สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ทรงโปรดให้คาร์เทียร์ ลอนดอนทำถวายในปี 1953 ซึ่งเป็นปีบรมราชาภิเษก อัญมณีเม็ดสำคัญบนเข็มกลัดคือ เพชรสีชมพูหายากขนาด 23.6 กะรัต ชื่อเพชรวิลเลียมสัน (Williamson Diamond) ซึ่งมีผู้ทูลเกล้าฯ ถวายเนื่องในพระราชพิธีอภิเษกสมรสในปี 1947 สำหรับผลงานอีกชิ้นที่จัดแสดงใกล้กันคือ เข็มกลัดดอกกุหลาบ ซึ่งเคยเป็นสมบัติส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตแห่งอังกฤษ หนึ่งในเครื่องประดับที่เจ้าหญิงทรงโปรดปรานที่สุดชิ้นหนึ่ง และทรงสวมไปร่วมงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระเชษฐภคินี ในปัจจุบันเข็มกลัดดอกกุหลาบเป็นส่วนหนึ่งของคาร์เทียร์ คอลเลคชั่น (Cartier Collection) ผลงานชิ้นเด่นต่อมาคือ สร้อยคอและโชคเกอร์สำหรับพระราชพิธี ที่มหาราชาแห่งปฏิอาลา (Maharaja of Patiala)ทรงสั่งทำในปี 1928 ซึ่งถือเป็นชิ้นงานที่แสดงฝีมืออันเหนือระดับของคาร์เทียร์ ในการนำวิธีการทำเครื่องประดับของอินเดียมาผสมผสานกับศิลปะโมเดิร์นนิสม์สไตล์อาร์ต เดโค
นิทรรศการส่วนต่อมาจะพาไปเจาะลึกเวิร์คชอปของคาร์เทียร์ ที่แสดงฝีมือการนำอัญมณีเม็ดสำคัญมาเนรมิตเป็นเครื่องประดับ และคิดค้นนวัตกรรมไว้มากมาย เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าทำให้คาร์เทียร์แต่ละสาขาต้องตั้งเวิร์คชอปของตัวเอง ที่ซึ่งช่างฝีมือทุกแขนงต่างรังสรรค์ชิ้นงานตามมาตรฐานของบริษัทอย่างเคร่งครัด ผู้เข้าชมนิทรรศการจะได้เห็นวิธีการประดิษฐ์เสือแพนเตอร์ หนึ่งในสัญลักษณ์ระดับไอคอนของเมซง ซึ่งใช้เทคนิคการทำเครื่องประดับอันหลากหลายที่มีมายาวนานหลายศตวรรษ ตัวอย่างผลงานที่ตกแต่งเป็นลวดลายเสือแพนเตอร์ ได้แก่ นาฬิกาข้อมือจากปี 1914 ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่เก่าแก่ที่สุดของการใช้ลวดลายของเสือแพนเตอร์บนผลงานของคาร์เทียร์ และอีกตัวอย่างหนึ่งคือ สร้อยข้อมือเสือแพนเตอร์ประดับเพชรและออนิกซ์ ที่รังสรรค์ขึ้นเมื่อปี 1978
กุญแจสำคัญที่การันตีคุณภาพระดับสูงของเครื่องประดับจากคาร์เทียร์คือการเลือกใช้วัสดุชั้นเยี่ยม ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 คาร์เทียร์สามารถเข้าถึงอัญมณีเม็ดสำคัญระดับโลกด้วยความอุตสาหะของฌาคส์ คาร์เทียร์ ผู้เดินทางไปเสาะหาวัสดุถึงตะวันออกกลาง อินเดีย และศรีลังกา นอกจากนี้ การที่มีฐานลูกค้าเป็นบุคคลชั้นนำและมีสายสัมพันธ์อันดีกับเครือข่ายผู้ค้าอัญมณียังทำให้ช่างฝีมือของคาร์เทียร์ได้สัมผัสอัญมณีที่เลอค่าที่สุดในโลกมาแล้วนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นทับทิมที่หายากที่สุด แซฟไฟร์เม็ดที่ใหญ่ที่สุด เพชรในตำนาน หรือแม้แต่เพชรสีที่โดดเด่นเหนือระดับ นิทรรศการส่วนนี้อุทิศให้กับวัสดุเบื้องหลังผลงานคาร์เทียร์ ผู้เข้าชมจะตื่นตาตื่นใจไปกับอัญมณีน้ำงามติดอันดับโลกในเครื่องประดับที่ออกแบบโดยคาร์เทียร์ เช่น สร้อยคอของบาร์บาร่า ฮัตตัน (Barbara Hutton) ทายาทมหาเศรษฐีอเมริกัน ซึ่งทำจากลูกปัดหยกที่งดงามที่สุดชุดหนึ่งของโลก เข็มกลัดออลนาทท์ (Allnatt Brooch) ประดับเพชรสีเหลืองสดขนาด 101 กะรัต และเครื่องประดับคอลเลคชั่นทุตตี้ ฟรุตตี้ (Tutti Frutti) หลายชิ้น อย่างศิราภรณ์เมาท์แบตเท่น (Mountbatten Bandeau) ที่คาร์เทียร์ ลอนดอนรังสรรค์ขึ้นเมื่อปี 1928 งานในคอลเลคชั่นทุตตี้ ฟรุตตี้ที่เป็นเครื่องประดับศีรษะนั้นมีน้อยชิ้น ผลงานชิ้นนี้จึงจัดเป็นชิ้นหายาก ผู้ที่ซื้อไปครอบครองคือเอ็ดวิน่า เลดี้เมาท์แบตเท่น (Edwina, Lady Mountbatten) ชายาของหลุยส์ เอิร์ลเมาท์แบตเท่นแห่งพม่าที่ 1 (Louis, 1st Earl Mountbatten of Burma) ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอุปราชแห่งอินเดีย นอกจากนี้ยังจะมีการจัดแสดง เทียร่าแพลทินัมประดับอความารีนและเพชร ที่คาร์เทียร์ ลอนดอนทำขึ้นในปีบรมราชาภิเษกพระเจ้าจอร์จที่ 6 ซึ่งเป็นปีที่สื่ออังกฤษรายงานว่ากระแส ‘คลั่งเทียร่า’ (Tiaramania) กำลังมาแรง และเครื่องประดับพลอยสีต่างๆ เช่น แอมิทิสต์และซิทรีน ที่ได้รับความนิยมในยุค 1930 ก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ในนิทรรศการส่วนนี้
เวิร์คชอปของคาร์เทียร์ได้กลายเป็นห้องทดลองในการสร้างสรรค์ประดิษฐกรรมและนวัตกรรมเชิงเทคนิค ที่ซึ่งจินตนาการสามารถโลดแล่นได้อย่างอิสระเสรี และเนรมิตสิ่งที่ดูเป็นไปไม่ได้ให้เป็นจริงขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะ นาฬิกาข้อมือ หรือเครื่องประดับอย่างสร้อยคอสุดพิเศษรูปงูที่โดดเด่นด้วยขนาดและการขยับได้ดุจมีชีวิตของมาเรีย เฟลิกซ์ (Maria Félix) ดาราภาพยนตร์ชาวเม็กซิกัน ผลงานชิ้นนี้คือตัวอย่างอันสมบูรณ์แบบของการผสานความงดงามในการออกแบบและความสามารถเชิงช่างฝีมือเข้าด้วยกันในแบบฉบับของคาร์เทียร์เพื่อให้ได้ผลงานที่สะท้อนตัวตนของลูกค้าอย่างแท้จริง ส่วนเรือนเวลาที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ ได้แก่ Santos (ซานโตส) นาฬิกาข้อมือสมัยใหม่เรือนแรกที่เปลี่ยนโฉมหน้าของประดิษฐกรรมเวลาตั้งแต่ปี 1904 และจุดประกายดีไซน์ใหม่อันเป็นต้นแบบของเรือนเวลาคาร์เทียร์ ในยุคต่อๆ มาทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีเรือนเวลาที่คาร์เทียร์ ลอนดอนประดิษฐ์ขึ้นในทศวรรษ 1960 อย่าง แครช (Crash) ผลงานไอคอนิคจากปี 1967 ที่สะท้อนเสรีภาพเชิงศิลปะและการท้าทายนิยามความงามแบบดั้งเดิมที่เป็นดั่งจิตวิญญาณของกรุงลอนดอนในยุคปี 60 ตลอดมาจนถึงในปัจจุบัน ความคิดริเริ่มสุดสร้างสรรค์ของคาร์เทียร์ยังปรากฏให้เห็นในเรือนเวลาปี 2024 ที่นำรูปทรงของตะขอปีนเขา (carabiner) อุปกรณ์คู่ใจนักปีนเขามายกระดับด้วยการหลอมรวมดีไซน์เปี่ยมรสนิยมให้เข้ากับการใช้งานจริง ปิดท้ายส่วนนี้ด้วยการจัดแสดงคอลเลคชั่นนาฬิกาตั้งโต๊ะมิสเทอรี่ ที่รวบรวมประดิษฐกรรมนาฬิกาสุดพิเศษที่เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่เสมือนล่องลอยอยู่ในอากาศ
นิทรรศการส่วนสุดท้ายเป็นการเชิดชูความสำเร็จของคาร์เทียร์ในการก่อร่างสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ จนเป็นที่จดจำในฐานะแบรนด์ที่โด่งดังที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก ชื่อคาร์เทียร์กลายเป็นคำที่สื่อถึงความภูมิฐาน เอกลักษณ์ความคิดสร้างสรรค์ และรสนิยมชั้นเลิศมาตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมซงถ่ายทอดภาพลักษณ์ดังกล่าวด้วยเทคนิคทางการตลาดแบบก้าวหน้ามากมาย เช่น การจัดแสดงนิทรรศการสาธารณะ การโฆษณา การให้ยืมผลงานไปแสดงในงานสังคมและตีพิมพ์ในนิตยสารแฟชั่น ในงานนิทรรศการศิลปะตกแต่งและอุตสาหกรรมสมัยใหม่นานาชาติ (Exposition Internationale des Arts Décoratifs et Industriels Modernes) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปารีสในปี 1925 คาร์เทียร์ยังเป็นผู้ผลิตเครื่องประดับรายเดียวที่จัดแสดงผลงานเคียงข้างห้องเสื้อชั้นนำต่างๆ ณ Pavillon de l’Élégance โดยเมซงเลือกนำเครื่องประดับดีไซน์แปลกแหวกแนว เช่น เครื่องประดับผมรูปดอกกล้วยไม้ ทำจากแพลทินัม เพชร และออนิกซ์มาจัดแสดงอีกด้วย
เมื่อเวลาผ่านไป นักแสดงและศิลปินเพลงได้ก้าวขึ้นมาเป็นสไตล์ไอคอนแห่งยุคสมัยแทนที่เชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูง ศิลปินรุ่นแล้วรุ่นเล่าต่างชื่นชมคาร์เทียร์ และนำความร่วมสมัยในแบบของตนเองมาเติมเต็มให้เมซง ทำให้ชื่อคาร์เทียร์ยังคงอยู่ในทำเนียบแบรนด์ที่คนรู้จักมากที่สุดในโลกมาจนทุกวันนี้ หนึ่งในชิ้นงานจัดแสดงที่เป็นไฮไลท์ในส่วนนี้ คือ แหวนหมั้นเพชร 10,48 กะรัต เจียระไนแบบสเต็ปคัท (step cut) ที่เกรซ เคลลี่สวมในภาพยนตร์เรื่องสุดท้าย ก่อนเข้าพิธีเสกสมรสกับเจ้าชายเรนิเยร์ที่ 3 แห่งโมนาโก ที่ทาง Monaco Princely Palace Collection ให้ยืมมาจัดแสดง
สำหรับส่วนสุดท้ายของนิทรรศการจัดแสดงเทียร่าสุดตระการตา เทียร่าคือสุดยอดสัญลักษณ์แห่งสถานภาพ ความมั่งคั่ง และความสง่างาม ทั้งยังเป็นกระจกสะท้อนจินตนาการและทักษะเชิงช่างเครื่องประดับขั้นสูงสุด ซึ่งปัจจุบันคาร์เทียร์ยังคงรังสรรค์เทียร่าอยู่เสมอมา สำหรับชิ้นเด่นในส่วนนี้ ได้แก่ เทียร่าโอปอล (Opal Tiara) ที่แมรี่ คาเวนดิช มาร์ชเนส แห่งฮาร์ทิงตัน สั่งทำเมื่อปี 1937 และนำมาสวมเป็นสร้อยคอ เมื่อครั้งได้รับเชิญไปร่วมงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ในปี 1953 ซึ่งขณะนั้นแมรี่ คาเวนดิชดำรงตำแหน่งดัชเชสแห่งเดวอนเชอร์ และมีบทบาทสำคัญในฐานะนางสนองพระโอษฐ์ผู้ดูแลฉลองพระองค์ของพระราชินี นอกจากนี้ยังมี สโกรลเทียร่า (Scroll Tiara) สไตล์การ์แลนด์ที่เจ้าของได้สวมไปร่วมงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 เช่นกัน และต่อมาในปี 2016 รีแอนนาได้สวมขึ้นปกนิตยสาร W และชิ้นต่อมา คือ เฮโลเทียร่า (Halo Tiara) ทำจากแพลทินัมประดับเพชรที่คาร์เทียร์ ลอนดอนประดิษฐ์ขึ้นในปี 1934 โดยได้แรงบันดาลใจมาจากอาณาจักรอียิปต์โบราณ บุคคลหนึ่งที่เคยสวมเทียร่านี้คือ เบกุม อากา ข่าน ที่ 3 (Begum Aga Khan III) ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่มีสไตล์เป็นเลิศที่สุดในยุคของเธอ
คาร์เทียร์ก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าแห่งเครื่องประดับเลอค่าในสมัยที่บุคคลในวงสังคมชั้นสูงสวมเครื่องประดับเหล่านี้ไปในงานสังคมที่หรูหราที่สุดแห่งปี แม้ว่าปัจจุบันจะมีงานระดับที่ต้องสวมเทียร่าเพียงไม่กี่งาน แต่เทียร่าก็ยังครองความเป็นสุดยอด ทั้งในด้านความเจิดจรัส ความโรแมนติก ศิลปะอันงดงาม และยังจัดอยู่ในทำเนียบผลงานที่วิจิตรที่สุดของคาร์เทียร์อีกด้วย
หมายเหตุสำหรับบรรณาธิการ
· นิทรรศการ Cartier จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์ V&A เซาธ์เคนซิงตัน ระหว่างวันที่ 12 เมษายน – 16 พฤศจิกายน 2568
· นิทรรศการนี้จัดขึ้นโดยเฮเลน โมลส์เวิร์ธ (Helen Molsworth) และเรเชล การ์ราแฮน (Rachel Garrahan) และมีหนังสือคู่มือชมนิทรรศการที่ตีพิมพ์โดย V&A วางจำหน่ายที่ร้านพิพิธภัณฑ์ (V&A Shop) ในราคาพิเศษ 35 ปอนด์ (จากราคาปกติ 40 ปอนด์)
· บัตรเข้าชมนิทรรศการมีจำหน่ายที่ vam.ac.uk/exhibitions/cartier
· สื่อมวลชนสามารถดาวน์โหลดภาพได้ที่ pressimages.vam.ac.uk
โซเชียลมีเดีย
Instagram: @vamuseum
Facebook: @VictoriaandalbertMuseum
Tiktok: @vamuseum
X: @V_and_A
เกี่ยวกับ V&A
พิพิธภัณฑ์วิคตอเรียแอนด์อัลเบิร์ต (V&A) ลอนดอน เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ การออกแบบ และการแสดงชั้นนำของโลก คอลเลคชั่นของพิพิธภัณฑ์โดดเด่นเหนือระดับทั้งในแง่ขอบเขตเนื้อหาและความหลากหลาย สะท้อนให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ของมนุษยชาติตลอด 5,000 ปีที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์ก่อตั้งขึ้นในปี 1852 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเผยแพร่งานศิลปะให้ทุกคนได้ชม และสร้างแรงบันดาลใจให้นักออกแบบและผู้ผลิตชาวอังกฤษ ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์มุ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ พร้อมจุดประกายจินตนาการให้แก่ทุกคน
vam.ac.uk
เกี่ยวกับคาร์เทียร์ คอลเลคชั่น (Cartier Collection)
ในทศวรรษ 1970 คาร์เทียร์เริ่มรวบรวมผลงานที่รังสรรค์ขึ้นในยุคก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ นาฬิกา หรือแอคเซสเซอรี่ล้ำค่าอื่นๆ มากมายโดยมีจุดประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ การรวบรวมผลงานในอดีตนี้นำไปสู่การก่อตั้งคาร์เทียร์ คอลเลคชั่น (Cartier Collection) ในปี 1983
ปัจจุบันคาร์เทียร์ คอลเลคชั่นประกอบด้วยผลงานหลากหลายสมัย ตั้งแต่ทศวรรษ 1860 มาจนถึงทศวรรษ 2000 โดยทำหน้าที่บันทึกประวัติศาสตร์แห่งสไตล์และความคิดสร้างสรรค์ตลอด 170 ปีของคาร์เทียร์ ซึ่งถือเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ในมุมกว้างของวิวัฒนาการในวงการศิลปะตกแต่งและสังคมโดยรวมนับตั้งแต่สิ้นศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมาอีกด้วย
ปัจจุบันคาร์เทียร์ คอลเลคชั่น เก็บรวบรวมผลงานไว้ประมาณ 3,500 ชิ้น และจำนวนผลงานที่สะสมไว้ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นที่สนใจของพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ทั่วโลก นับตั้งแต่การจัดแสดงนิทรรศการครั้งสำคัญครั้งแรก ณ พระราชวังเปอตีต์ ปาเลส์ (Petit Palais) กรุงปารีสในปี 1989 สถาบันที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกหลายสถาบันก็ได้จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับคาร์เทียร์ คอลเลคชั่น รวมทั้งสิ้น 44 นิทรรศการ โดยนิทรรศการ Cartier นับเป็นการจัดแสดงผลงานคาร์เทียร์ในสหราชอาณาจักรเป็นครั้งที่ 3 ต่อจากงาน Cartier, 1900-1939 ซึ่งจัดขึ้นที่บริติชมิวเซียม (British Museum) ในปี 1998 และ Cartier in Motion curated by Normal Foster ณ ดีไซน์ มิวเซียม (Design Museum) ในปี 2017
เกี่ยวกับผู้ออกแบบนิทรรศการ
อาซิฟ คาน (Asif Khan, MBE) คือสถาปนิกและศิลปินชาวอังกฤษผู้ออกแบบหลากหลายโครงการทั่วโลกเช่น Museum of the Incense Road ณ เมืองอัล-อูลา ซาอุดิอาระเบีย โครงการ Barbican Art Centre Renewal กรุงลอนดอน New Museum of London และสะพานเดินเท้าสีแดงเหนือย่าน Canada Water กรุงลอนดอน นอกจากนี้คานยังเข้าร่วมในเทศกาล Islamic Arts Biennale 2025
ณ กรุงเจดดาห์ ในฐานะศิลปินด้วย คานได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งจักรวรรดิอังกฤษชั้น Member of the British Empire (MBE) ในฐานะผู้สร้าง “คุณูปการต่อวงการสถาปัตยกรรม” ในปี 2017 และได้รับรางวัล FX ในฐานะผู้สร้างคุณูปการดีเด่นแก่วงการสถาปัตยกรรมในปี 2024 คานให้ความสนใจประสบการณ์เชิงประสาทสัมผัสและอัตลักษณ์ โดยการใช้สุนทรียศาสตร์
งานเชิงพิธีกรรมและแนวคิดใหม่ด้านโครงสร้าง เขาเชื่อว่างานแต่ละโครงการล้วนเป็น “สะพานสู่โลกใหม่และตัวตนใหม่” ด้วยกันทั้งสิ้น